พลเอก ธงชัย รอดย้อย เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กล่าวว่า ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเชิงพื้นที่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมพิธีในครั้งนี้ ภายใต้แนวคิด “ชุมชนเข้มแข็งด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม” ระหว่าง กอ.รมน. และ วช. การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กอ.รมน. และ วช. ได้จัดขึ้นแล้ว 2 ครั้งในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา โดยมีการส่งมอบผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน ทั้งด้านการสร้างรายได้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ จากผลสำเร็จที่ผ่านมา กอ.รมน. เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสานต่อความร่วมมือกับ วช. เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงของชาติในระยะยาวตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไป
1.การบูรณาการเครือข่ายนักวิจัยและสถาบันการศึกษา ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ตามบริบทความต้องการของแต่ละพื้นที่
2.การคัดเลือกและพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร การจัดการทรัพยากรน้ำ การยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน การจัดการภัยพิบัติ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และประเด็นด้านอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาของพื้นที่ชุมชน
ทั้งนี้ วช. จะร่วมกับ กอ.รมน. ในการติดตามผลและต่อยอดรูปแบบกระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมขอบคุณ กอ.รมน. และทุกภาคส่วนที่สนับสนุนความร่วมมือครั้งนี้
ในโอกาสนี้ วช. ได้ส่งมอบนวัตกรรมต้นแบบให้แก่ กอ.รมน. และชุมชนเป้าหมาย ได้แก่ “ระบบบรรจุขวดแบบรักษาระดับแรงดันพร้อมถังสำรองลดอุณหภูมิผลิตภัณฑ์ร่วมกับปิดฝาแบบกึ่งอัตโนมัติ” และ “ชุดการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวและกล้วยน้ำว้า เพื่อการพัฒนาเบเกอรี่ที่เหมาะสมและยั่งยืน” ให้กับตัวแทนแต่ละชุมชน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สร้างรายได้ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
ถัดมาเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากชุมชน อาทิ วิสาหกิจชุมชนหมูหลุมอินทรีย์ ตำบลดอนแร่ จังหวัดราชบุรี วิสาหกิจชุมชนบ้าน 7 หลังพาเพลิน จังหวัดสระแก้ว และชุดการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวและกล้วยน้ำว้า เพื่อการพัฒนาการผลิตเบเกอรี่ให้มีความเหมาะสมและได้มาตรฐาน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและสามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์
การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการผสานพลังความรู้วิจัยและนวัตกรรม ที่จะนำไปสู่การสร้างชุมชนไทยให้เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน