การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในยุคใหม่ ควรเน้นให้ผู้เรียนฝึกคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยตนเอง แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากมาย เพียงแค่ปรับรูปแบบให้เหมาะสม และได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากบุคคลากรในโรงเรียนเท่านั้น วิธีการเรียนรู้มากมายที่ได้ถูกพิสูจน์เชิงประจักษ์แล้วว่า มีประสิทธิภาพสูงและไม่มีประสิทธิภาพ คือ 1)ใช้การฝึกนึกความรู้เดิมและหลีกเลี่ยงการอ่านซ้ำ 2)ใช้การเรียนรู้แบบเว้นช่วงและหลีกเลี่ยงการเรียนแบบอัด และ 3)ใช้การเรียนรู้แบบสลับและหลีกเลี่ยงการเรียนแบบเป็นก้อน ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทางรายการ 1 ในพระราชดำริ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 Mcot HD และมูลนิธิอานันทมหิดล เห็นว่ามีความน่าสนใจ และเป็นตัวเลือกที่จะนำมาปรับใช้ในสถานศึกษา
ผศ.นพ.อธิพงศ์ พัฒนเศรษฐพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ผศ.นพ.อธิพงศ์ พัฒนเศรษฐพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีความสนใจด้านการศึกษาและการเรียนรู้ของมนุษย์ จนได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศอเมริกา กล่าวว่า “ผมคิดว่าการศึกษาไทยในปัจจุบันยังไม่มีการนำเรื่องการเรียนรู้เชิงประจักษ์มาใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งการเรียนรู้ดังกล่าวฯ เป็นการเรียนรู้ที่จะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน มีการวิจัยว่ารูปแบบการศึกษาแบบไหนที่จะทำให้ได้ผล ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าจะช่วยพัฒนาผู้เรียน เพิ่มสมรรถนะและประสิทธิผล เมื่อเรียนจบไปจะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีดังกล่าวได้แก่ 1)การเรียนรู้แบบฝึกนึก คือไม่ใช่อ่านเนื้อหาที่เคยเรียนไปแล้วซ้ำ แต่ให้ฝึกนึกความรู้ที่เคยเรียนไปแล้วออกมา เพราะเป็นสิ่งที่ผู้เรียนต้องทำจริงในการแก้ปัญหา 2)การเรียนรู้แบบเว้นช่วง คือไม่ใช่การอัดเนื้อหามากๆ ในเวลาสั้นๆ แต่เป็นการศึกษาเรื่องเดิมซ้ำหลังจากเวลาผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาได้มากและนานขึ้น 3)การเรียนรู้แบบสลับ…