Share This Article
สัมผัส10ประสบการณ์สุดยูนีคในมองโกเลีย ดินแดนสุดอะเมซิ่ง ไม่เหมือนที่ใด
หลังโควิด-19 คลี่คลาย อยากชักชวนคนไทยไปเที่ยวมองโกเลีย เป็นอีกประเทศที่น่าสนใจมากทีเดียว ธรรมชาติที่งดงาม ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ กิจกรรมสุดสนุก ผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย และที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลียก็ราบรื่น คนไทยไปเที่ยวมองโกเลียโดยไม่ต้องใช้วีซ่า คนมองโกเลียมาไทยก็ไม่ต้องใช้วีซ่าเช่นกัน
สถานทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย และบ้านพระยาทราเวลอยากเชิญชวนให้คนไทยไปสัมผัสมองโกเลีย ดินแดนสุดอะเมซิ่ง
ประวัติศาสตร์สำหรับประเทศนี้ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงขนาดเคยครองพื้นที่ได้มากที่สุดของโลก (1 ใน 4 ของโลก) ที่ไม่มีใครเทียมเท่า ในอดีตมองโกเลีย เคยมีอาณาจักรที่มีเนื้อที่ติดต่อกันที่กว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ชาติ จากฝั่งตะวันออกคาบสมุทรเกาหลียาวเหยียดผ่านเอเชียกลาง ไปยันประเทศออสเตรียทางตะวันตก ทางด้านล่างก็กินพื้นที่จีนทั้งประเทศลงมาถึงพุกามไปจรดเวียดนาม
ประเทศมองโกเลียแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็นสองส่วน เนื่องจากในอดีตมองโกเลียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศจีน โดยจะแบ่งเป็นมองโกเลียใน (Inner Mongolia) เขตปกครองตนเองที่อยู่ในส่วนของประเทศจีน และมองโกเลียนอก (Outer Mongolia) นักท่องเที่ยวก็มักจะไปเที่ยวที่มองโกเลียนอก (Outer Mongolia) นั่นเอง ซึ่งวันนี้เราจะกล่าวถึงการท่องเที่ยวมองโกเลียนอกค่ะ
ท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ในมองโกเลีย
มองโกเลีย ได้ชื่อว่า ดินแดนแห่ง The Land of Eternal Blue Sky หรือดินแดนแห่งท้องฟ้าสีฟ้าชั่วนิรันดร ท้องฟ้าสีครามตัดกับทุ่งหญ้าสเต็ปป์สีเหลืองทอง ภูเขาต้นไม้ เนินทรายสีทอง แหล่งขุดค้นพบฟอสซิสไดโนเสาร์ที่มีความเก่าแก่
หากใครชอบเที่ยวแบบลุยๆ พบธรรมชาติที่แปลกตา วิถีวัฒนธรรม บ้านเมืองและวิถีชีวิตของผู้คน นี่คือมองโกเลีย ดินแดนแห่งขุนเขาอันเงียบสงบ แถมคนไทยสามารถไปเที่ยวได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า บินตรงโดยสายการบิน Mongolian Airline (OM-เมียทมองโกเลียนแอร์ไลนส์) ใช้เวลาบินโดยประมาณ 6 ชม. ซึ่งจะเปิดบริการบินตรงในช่วงฤดูหนาว ที่เป็นซีซันของการท่องเที่ยว พอฤดูร้อนจะต้องไปต่อเครื่องที่ฮ่องกงค่ะ แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรหากใจรัก
มองโกเลีย ตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย มีพรมแดนติดกับรัสเซียและจีน ไม่มีอาณาเขตติดกับทะเล มองโกเลียเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยมาก พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า แต่มีประชากรเพียง 3 ล้านกว่าคนเท่านั้น เวลาท้องถิ่นในมองโกเลียเร็วกว่าไทยเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ไปเที่ยวก็ไม่ต้องปรับตัวมาก สกุลเงินที่ใช้จับจ่ายซื้อของกันเรียกว่า ตูริก (MNT) ซึ่ง 1 บาทเท่ากับ 90 ตูริกโดยประมาณ
เรื่องราวจากอดีตสู่ปัจจุบัน
เมืองหลวงคืออูลันบาตอร์ (ULAAN BAATAR) ซึ่งหมายถึง วีรบุรุษแดง (Red Hero) เพื่อให้เกียรติแก่แดมดิน ชุคบาตาร์ (DAMDIN SUHNAATAR) ผู้ชักนำกองทัพของสหภาพโซเวียตเข้ามา เพื่อปลดปล่อยมองโกเลียจากการยึดครองของจีน โดยปัจจุบันมีการสร้างรูปปั้นเพื่อรำลึก ณ บริเวณจัตุรัสกลางของกรุงอูลานบาตอร์ มองโกเลียได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรชนเร่ร่อน (Nomadic Empire) ซึ่งเป็นชุมชนที่ย้ายที่อยู่ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยไม่มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งอย่างถาวร ในปี ค.ศ. 1206 อาณาจักรมองโกลถูกก่อตั้งโดย เจงกีส ข่าน (Genghis Khan ค.ศ. 1162 – 1227) สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมองโกล ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาณาจักร ที่ครอบคลุมพื้นใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในเวลาต่อมาหลานชายของเขาคือ กุบไลข่าน (Kublai Khan ค.ศ. 1215 – 1294) เอาชนะจีนและก่อตั้งราชวงศ์หยวน ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์แรก โดยมีพระนามว่าซื่อจูหวางตี้ หรือ ซีโจ๊วฮ่องเต้ หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1911 มองโกเลียประกาศอิสรภาพจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากนั้นประเทศมาอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียต ซึ่งได้ช่วยให้มองโกเลียเป็นอิสรภาพจากประเทศจีน จนในปี ค.ศ. 1921 เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติมองโกเลีย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางทหาร และการเมืองโดยนักปฏิวัติมองโกเลีย ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพแดงโซเวียต ขับไล่ทหารผิวขาวชาวรัสเซียออกจากประเทศและก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียในปี ค.ศ.1924
สัมผัส 10 ประสบการณ์สุดยูนีคของมองโกเลียกันค่ะ
1 ใช้ชีวิตแบบ Nomad นอนใน Ger ที่พักแบบกระโจม
หนึ่งในสิ่งห้ามพลาดเมื่อไปมองโกเลีย ก็คือการพักค้างแรมใน เกอร์ (Ger) กระโจมที่พักแบบกระโจมสไตล์มองโกเลีย ที่พำนักของชาว Nomad ชนเร่ร่อนของมองโกเลีย การพักในเกอร์จะคล้ายกับการกางเต้นท์แต่จะมีขนาดกว้างขวาง ตั้งอยู่กลางธรรมชาติ มีทุ่งหญ้าสีทอง ชมความงามของภูเขาและดวงดาวระยิบระยับยามค่ำคืน รูปทรงของเกอร์จะเป็นทรงกลมๆ เป็นภูมิปัญญาที่พวกเขาใช้มาหลายทศวรรษ ต้านลมแรงได้ดี มีเสาสองต้นตรงกลางเพื่อรับน้ำหนัก หลังคาและผนังทำจากผ้าใบเคลือบไขมันสัตว์ทำให้อบอุ่นในหน้าหนาว ปัจจุบันอาจไม่ใช้ไขมันสัตว์แต่พวกเขาก็มีเทคนิคการออกแบบให้ผนังอบอุ่นสบาย ด้านบนเป็นโครงไม้โปร่งๆ ไม่มีหน้าต่าง เพราะมองโกลลมแรง อากาศหนาว ภายในกระโจมมีเตาหินไว้ผิงไฟ
มีโอกาสนอนที่ Terelj Star Resort อีกเกอร์พักที่ Toilogt ทั้ง 2 รีสอร์ทเป็นรีสอร์ทที่พักสบายมากเลยทีเดียว แต่ละเกอร์จะมีสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมบริการต่างๆ และมีห้องน้ำในตัวค่ะ โดยรีสอร์ทแรกมีฮีทเตอร์ในตัว ส่วนอีกรีสอร์ทจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเติมฟืนในเตาผิงให้ และไม่นึกว่ากระโจมแบบนี้จะนอนได้อุ่นและสบาย ภายในกว้างสามารถตั้งเตียงได้ 3-4 เตียง
การพักในเกอร์ปัจจุบันสะดวกสบาย เพราะมีเกอร์ถาวรสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีห้องน้ำแบบปิดและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเกอร์ให้พร้อม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ในมองโกเลีย มีบริการชุดชนเผ่าแบบพื้นเมืองให้สวมใส่ และถ่ายรูปคู่กับกระโจมแบบชาว มองโกลพื้นเมือง เพื่อเก็บภาพที่ระลึกในการมาเยือนมองโกเลีย รับประทานอาหารอาหารค่ำแบบพื้นเมือง ณ Ger Camp
วิถี nomad ชนเผ่าเร่ร่อนแห่งทุ่งหญ้ามองโกล อาจกล่าวได้ว่าเป็นเวลากว่า 3,000 ปีมาแล้ว ที่ชาวมองโกลใช้ชีวิตร่อนเร่ไปทั่วดินแดนแห่งทุ่งหญ้า ใต้ผืนฟ้าสีครามอันเป็นนิรันดร์ แม้โลกหมุนไปแต่กลุ่มชนที่ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อน หรือ nomad ก็ยังคงเดินทางโยกย้ายเปลี่ยนถิ่นฐานไปตามฤดูกาล ดังเช่นบรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำสืบเนื่องต่อกันมายาวนานนับพันปี ในปีหนึ่งๆ ชาวมองโกลจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เกอร์จึงมีการออกแบบให้รื้อถอนได้ง่าย ภายในจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นเตียง, โต๊ะหรือตู้ และเตาผิงไฟ ส่วนใหญ่จะพักรวมกันเป็นครอบครัว
2 ท่องเที่ยวชมวิวสุดฟิน นอนบนรถไฟสาย Trans Mongoliaการเดินทางในประเทศด้วยรถไฟเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนใฝ่ฝันถึง เพื่อที่จะได้ชมวิวอันหลากหลายของมองโกเลียได้อย่างเต็มตา ทางรถไฟในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสาย “ทรานส์มองโกเลีย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ระยะทางเกือบ 8 พันกิโลเมตร ถ้าใช้เครื่องบินก็ไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับเป็นเส้นทางรถไฟที่เรียกได้ว่าดังที่สุดในโลก
นักท่องเที่ยวต่างก็อยากอยู่บนขบวนโบกี้นี้อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต เพื่อชมบรรยากาศตลอด 2 ข้างทางว่าสวยสดงดงามเพียงใด ยิ่งได้นอนชมวิวบนรถไฟด้วยยิ่งได้บรรยากาศ และไม่ต้องกลัวความหนาวค่ะ เพราะเขามีฮีทเตอร์บนรถไฟ จากสถานีรถไฟ Ulaanbaatar เมืองหลวง เดินทางไปสู่เมือง Erdenet ด้วยรถไฟภายในประเทศ เส้นทาง Ulaanbaatar-Tolgoit-Rashaant-Unegt-Zuunkharaa-Salkhit- T saidam Khutul-Darkhanl-Belendalai-Orkhontuul-Khangal Ulaantologoi ถึงสถานีปลายทางคือ Erdenet เวลา 07.30 น. ระยะ ทาง 409 กม.ความสนุกในการพักที่ตู้นอนบนขบวนรถไฟ ห้องละ 2-3 คน ในห้องจะมี 4 เตียง ประกอบไปด้วย เตียงล่าง 2 เตียง เตียงบน 2 เตียง แต่ส่วนมากจะพักห้องละ 2 คน และเก็บกระเป๋าไว้ที่เตียงด้านบน
ตื่นมายามเช้าเดินทางถึงเมือง Erdenet City เมืองที่มีประชากรราว 9 หมื่นคน ที่นี่ยังเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของเนื้อผ้าพรมขนแกะ หลังจากนั้นเดินทางโดยรถบัส เพื่อเดินทางไปยังเมือง Murun ตั้งอยู่ในเขตของจังหวัด Khuvsgul Almag ซึ่งอยู่ในในภาคเหนือของมองโกเลีย ซึ่งจะมีทะเลสาบฮุฟสกุลเป็นไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ
3 กิจกรรมสุดยูนีค ขี่ม้าเดินเล่น-ขี่ม้าลากเลื่อน-สุนัขลากเลื่อน
การท่องเที่ยวในมองโกเลีย เราจะได้พบเห็นม้าทากิ (Taki horse) หรือม้าแคระ ม้าสายพันธ์พื้นเมืองของมองโกเลีย ลักษณะตัวเล็ก เตี้ย ไม่สูงใหญ่ เป็นม้าประเภทเดียวหรือตระกูลเดียวกับม้าโพนี่ (Pony horse) ชาวมองโกลมีความผูกพันกับม้าตั้งแต่เด็ก จนมีคำกล่าวว่าขานกันว่าเด็กชาวมองโกลขี่ม้าได้พร้อมกับหัดเดิน ม้าทากิเป็นม้าเตี้ย ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำ เวลาวิ่งผู้ขี่ม้าจึงทรงตัวได้ดีกว่า และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การเล็งและการยิงธนูของนักรบมองโกลบนหลังม้าเป็นไปอย่างแม่นยำ (มิน่าเจงกิสข่านถึงได้ครองโลก) แต่นักท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้ขี่ม้าชนิดนี้เดินเล่น เนื่องจากยังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมเป็นสัตว์ป่า แต่ก็มีม้าประเภทอื่นที่ถูกฝึกให้เชื่อง เพื่อใช้ขี่เดินเล่นได้
อีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือสุนัขลากเลื่อน (Mongol dog sledding) อันนี้มิได้ทรมานสัตว์แต่อย่างใด แต่เป็นกิจกรรมพื้นเมืองและการดำรงชีพของเขาที่มีมาช้านาน เหล่าสุนัขแสนน่ารักจะพาลัดเลาะเที่ยวชมธรรมชาติ สัมผัสความงามของป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะ และความตื่นเต้นไปพร้อมกัน
นักท่องเที่ยวจะได้ลองสัมผัสประสบการณ์การนั่งรถลากเลื่อน ที่ผูกติดกับฝูงสุนัข ชมความสวยงามของป่าและริมฝั่งแม่น้ำตูล ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดต่ำได้สัมผัสความหนาวและสนุก ผู้ดูแลเลี้ยงสุนัขทุกตัว เลี้ยงมานาน จึงรู้นิสัยและพฤติกรรมของมันเป็นอย่างดี และจัดกลุ่มการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด ณ ทะเลสาบฮุฟสกุล Lake ที่เปรียบดั่ง เจ้าหญิงแห่งมองโกเลียตอนเหนือที่รู้จักกันในชื่อ “ไข่มุกสีฟ้าแห่งมองโกเลีย” นอกจากมีเทศกาลน้ำแข็งทุกปีช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคมแล้ว ทะเลสาบฮุฟสโกล เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในมองโกเลีย ในฤดูหนาวที่น้ำจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาหลายเมตร เป็นวินเทอร์ที่ยากจะลืมเลือน รถบัสก็สามารถวิ่งบนน้ำแข็งได้ เรือก็จอดนิ่งอยู่ในน้ำแข็งแบบนั้น จนกว่าจะถึงหน้าที่น้ำแข็งละลาย
นักท่องเที่ยวจะได้ขี่ม้าลากเลื่อนบนพื้นน้ำแข็ง โดย 1 ล้อลากจะนั่งได้ 3 คนเป็น คนขับ 1 คน และผู้โดยสาร 2 คน คนขับม้าหล่อมากนะขอบอก ชาวมองโกลเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่กับการเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นเหตุให้พวกเขามีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่ามากกว่าชนชาติกสิกรรมทั้งหลาย และนำสัตว์ป่ามาฝึกเป็น “ผู้ช่วย” หรือสัตว์เลี้ยงในการล่าสัตว์เช่นเหยี่ยว และอินทรี รวมถึงฝึกน้องหมาในการต้อนสัตว์ด้วย ตลอดจนเราจะพบเห็นอูฐในกองคาราวานที่มีอยู่โดยทั่วไป
4 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ เจงกีสข่านสู่สามข่าน และแดมดิน ชุคบาตาร์
เมื่อไปมองโกเลีย หากไม่ไปที่นี่เหมือนไปไม่ถึงก็คือ อนุสาวรีย์เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ครอบครอง 1 ใน 4 ของโลก (Genghis Khan Statue Complex) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งมองโกล ซึ่งเคยนำทัพพิชิตดินแดนต่างๆ ตั้งแต่เอเชียถึงยุโรป หรือในอีกชื่อคือเตมูจิน (Temujin) นี่คืออนุสาวรีย์คนขี่ม้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงมีความสูงประมาณ 40 เมตร น้ำหนักกว่า 250 ตัน เทียบเท่าตึก 12 ชั้น สร้างจากสแตนเลสทั้งหมด สะท้อนแสงสว่างสุกใส ดังอานุภาพที่เกรียงไกร
ส่วนฐานเป็นอาคารจัดแสดง มีห้องนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับชนชาติมองโกล ส่วนชั้นบนส่วนของรูปปั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์สวยๆ ลิฟต์จะขึ้นไปถึงบริเวณด้านบนหัวของม้า สามารถมองเห็นวิวไกลสุดลูกหูลูกตา โอบล้อมด้วยเนินเขาสวยงามแบบที่ไม่เหมือนที่ใด มีตำนานเล่าว่า อดีตข่านผู้ยิ่งใหญ่ได้พบแส้ม้าทองคำ ณ บริเวณนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมชนเผ่าเร่ร่อน ขึ้นมาเป็นกองทัพอันเกรียงไกร
การตายของเจงกิสข่านก็เป็นเรื่องเร้นลับเช่นกัน “ประวัติศาสตร์ลับของชาวมองโกล” (The Secret History of the Mongols) วรรณกรรมภาษามองโกลเก่าแก่ที่สุด ซึ่งเขียนขึ้นโดยบุคคลนิรนามหลังจากเจงกิส ข่าน สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น ก็ไม่ได้เอ่ยถึงหลุมศพของพระองค์ แต่ระบุเพียงว่า ในปี 1227 เจงกิส ข่าน ได้ “เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์” และไม่มีผู้ใดทราบว่ามีการฝังศพที่ใด
อีกที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้คืออนุสาวรีย์สามข่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิมองโกล ที่มีความสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์ ความเป็นชาติของประเทศมองโกเลีย ได้แก่ เจงกิสข่าน (Genghis Khan), โอเกเดข่าน (Ogedei Khan) และกุบไลข่าน (Kublai Khan) อนุสาวรีย์ของสามข่านตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคารรัฐสภา ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของ จัตุรัสซัคบาทาร์ (Sukhbaatar Square)
ณ จัตุรัสซัคบาทาร์ อยู่ใจกลางเมืองหลวงอูลานบาตอร์และเป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆ กลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์รูปปั้นของแดมดิน ชุคบาตาร์ (DAMDIN SUHNAATAR) ผู้นำการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1921 ตั้งอย่างสง่างามอยู่กลางจัตุรัส ด้านหลังของรูปปั้นซัคบาทาร์เป็นอาคารรัฐสภาที่โอ่อ่าสวยงาม ส่วนทางด้านตะวันตกเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดแสดงเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ ดอกไม้ สัตว์ และธรณีวิทยา ด้านในจัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวของการถือกำเนิดมองโกเลีย
จากนั้นไปชมเรื่องราวการต่อสู้และการประกาศอิสรภาพ สู่อนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน (Zaisan Memorial) อีกหนึ่งแห่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็คือ อนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน ตั้งอยู่บนยอดเขาไซซาน สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารมองโกเลียที่เข้าร่วมรบกับทหารสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนนำไปสู่การปฏิวัติประกาศอิสรภาพของประเทศมองโกเลีย ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นจุดเรียนรู้ประวัติศาสตร์แล้ว ยังเป็นจุดชมวิวเมืองอูลานบาตอร์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งด้วย ชมวิวเมืองอูลานบาตอร์แบบ 360 องศา
5 ธรรมชาติและภูมิประเทศสุดหลากหลาย สุดงดงามกับทะเลสาบยิ่งใหญ่-หิมะขาวโพลนช่วงหน้าหนาว ทุ่งหญ้าอัลไพน์ในหน้าร้อน อุทยานแห่งชาติสุดอะเมซิ่ง ดุจดั่งแอลป์แห่งเอเชีย
หนึ่งในนั้นคือทะเลสาบฮุฟสกุล (khuvsgul lake)เปรียบดั่ง เจ้าหญิงแห่งมองโกเลีย ได้รับการแต่งตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ และนับเป็นทะเลสาบน้องสาวของทะเลสาบไบคาลในเขตไซบีเรียของรัสเซีย (ห่างกัน 195 กิโลเมตร) เพราะมีความสวยงามคล้ายกัน และตั้งอยู่บนรอยแยกเปลือกโลกเหมือนกัน โดยมีแม่น้ำเอ้ก (Eg River) เชื่อมต่อทะเลสาบทั้ง 2 ไว้ ซึ่งแข็งตัวเป็นน้ำแข็งราวครึ่งปี ในหน้าร้อนจะกลายเป็นป่าสน ทุ่งหญ้าเขียวขจี และสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ อาทิ กวางเรนเดียร์ กวางมูส แพะไอเบ็กซ์ และจามรี
ทะเลสาบมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,645 เมตร ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มองโกเลีย ซึ่งติดกับชายแดนรัสเซีย เป็นทะเลสาบที่มีความสวยงามติดอันดับต้น ๆ ของโลก ด้วยมีธรรมชาติที่งดงาม มีความยาวประมาณ 136 กิโลเมตร และลึกมาก มีแม่น้ำมากกว่า 90 สาย ที่ไหลมาสู่ทะเลสาบแห่งนี้ ถือเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีความบริสุทธิ์เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย
บริเวณโดยรอบของทะเลสาบ รวมไปถึงพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบฮุฟสกุล (The Lake Khuvsgul National Park) มีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่จำนวนมาก นักท่องเที่ยวจึงสามารถเยี่ยมชมความสวยงามของธรรมชาติไปพร้อมๆ กับการเยี่ยมชมวิถีชีวิต วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของแต่ละชนเผ่าได้อย่างใกล้ชิด ทุกปีช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม ทะเลสาบฮุฟสโกล ซึ่งมีน้ำใสมากจนได้รับฉายาว่าเป็น ‘ไข่มุกสีฟ้าแห่งมองโกเลีย’ น้ำจะจับตัวกันเป็นแผ่นน้ำแข็งหนาหลายเมตร พร้อมให้นักท่องเที่ยวสัมผัสความหนาวเย็น -15 ถึง -30 องศาเซลเซียส
ระหว่างทางไปทะเลสาบนักท่องเที่ยวสามารถแวะชมหมู่บ้านคาทกาล (Khatgal village) และท่าเรือหลักของทะเลสาบ เพื่อสำรวจวิถีชีวิตแบบพื้นเมืองของชาวบ้าน ที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางเรนเดียร์พื้นเมือง
มองโกเลียในช่วงหน้าร้อน ในพื้นที่ใจกลางมองโกเลียจะมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งหนองน้ำ ทุ่งหญ้าสเตปป์ ทุนดรา ป่าสนไทก้า และเขตอัลไพน์ ทำให้มีนกและสัตว์ป่าหายากหลายชนิด
มาถึงมองโกเลียทั้งที พลาดไม่ได้ที่จะชมอุทยานแห่งชาติโกรชิ เตเรลจ์ (Gorkhi-Terelj National Park) เขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของมองโกเลีย มีภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตามากมาย อุทยานแห่งนี้อยู่ห่าง 60 กิโลเมตร ทางตะวันออกของอูลันบาตอร์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเป็นป่าสงวน พื้นที่ทั้งหมดคือ 1.2 ล้านเอเคอร์ ลักษณะพื้นที่คล้ายกับเทือกเขาแอลป์ อุทยานมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม สำหรับการเดินชมธรรมชาติ ไปกับการเดินป่าที่มีลำธารไหลผ่าน ของแม่น้ำทูอูล (Tuul River) ภายในอุทยานเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและนกมากกว่า 250 สายพันธุ์ รวมถึงสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ กวางมูซ, หมีสีน้ำตาล และพังพอน (Weasel)
ในอุทยานมีชาวนอร์มาดิก (NORMADIC FAMILY) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาตินี้ และยังคงดํารงชีวิตในแบบดั้งเดิม แม้ว่าปัจจุบันจะมีสิ่งอํานวยความสะดวกอยู่บ้าง แต่ชาวนอร์มาดิกก็ยังคงมีวิถีชีวิตและการหาเลี้้ยงครอบครัวแบบเดิมๆ หรือแม้แต่การย้ายบ้านไปเรื่อยๆ เช่นเดิม ในอุทยานมีหินเต่า (Turtle Rock) เป็นภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ถูกน้ำฝนและลมตามธรรมชาติกัดกร่อนจนมีรูปร่างคล้ายเต่า เป็นเสมือนแลนด์มาร์กของอุทยานโกรชิ เตเรลจ์ ที่ทุกคนต้องมาเยือนและถ่ายรูป ความสูงของหินนี้อยู่ที่ 24 เมตร และเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ หินเงิน (Money Rock) ชาวมองโกเลียเชื่อว่าเต่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์นำโชค รวมถึงมีกระโจมที่พักแบบเกอร์ให้พักค้างคืนในอุทยานอย่างใกล้ชิดธรรมชาติอีกด้วย
6 อารยธรรมหลายพันปี การค้นพบที่น่าทึ่งและหินกวางโบราณ
อาจกล่าวได้ว่ามองโกเลียเป็นประเทศเก่าแก่โบราณอีกประเทศหนึ่งที่มีอารยธรรมมายาวนานและมีความเจริญรุ่งเรืองมากในอดีต
หนึ่งในการค้นพบที่น่าทึ่ง เช่นหินกวางลึกลับ หินรูปกวางเหล่านี้มีอายุประมาณ 2,700 ปีเป็นอย่างต่ำ และแสดงภาพหลายภาพ เช่น กวาง กวางเอลก์ ม้า ใบหน้าคน และดวงอาทิตย์ ผลงานชิ้นเอกในยุคสำริด นักโบราณคดีระบุว่ามีหินกวางอย่างน้อย 3 ประเภทที่แตกต่างกันทั่วมองโกเลีย ได้แก่ มองโกเลียแบบคลาสสิก เอเชีย-ยุโรปตะวันตก และซายัน-อัลไต หินมองโกเลียแบบคลาสสิกมีรายละเอียดและสง่างามมาก โดยทั่วไปแล้วจะเป็นภาพนักรบคาดเข็มขัดและกวางแดงบิน โดยทั่วไปจะพบได้ทั่วมองโกเลียตอนเหนือและไซบีเรียตอนใต้
แม้ว่านักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่าหินกวางเป็นหิน หลุมฝังศพโบราณ แต่ก็ไม่พบว่ามีซากศพของมนุษย์อยู่รอบๆ หรืออยู่ข้างใต้ บางคนเสนอว่าหินแกะสลักเพื่อเป็นเกียรติหรือเป็นตัวแทนของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว
ปัจจุบัน มีการค้นพบหินกวางอย่างน้อย 1,500 ชิ้นทั่วประเทศมองโกเลีย โดยพบหินกวางยุคสำริดใกล้ Murun ทางตอนเหนือของมองโกเลีย
7 ดินแดนแห่ง Buddist Tourism สุดยิ่งใหญ่ ชมพระพุทธรูปยืนสูงที่สุดในโลก
ประชากรของมองโกเลียส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา โดยมีวัดกานดาน (Gandan Monastery) บางครั้งเรียกอารามกันดาน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง ศูนย์รวมใจชาวพุทธมองโกเลียในเมืองหลวงอูลันบาตอร์ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบทิเบต อารามกันดานชื่อเดิมคือ อารามสีเหลือง (Shar Sum) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1809 โดยบอกด์ ข่านที่ห้า แห่งมองโกเลีย
ต่อมาปี ค.ศ. 1838 ย้ายมาตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูลานบาตาร์ ภายในเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ วิทยาลัยพุทธปรัชญา วิทยาลัยการแพทย์และโหราศาสตร์ รวมถึงเป็นที่ประดิษฐานของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน อยู่ด้านในพระวิหารที่สูงที่สุดในโลกด้วย ความสูง 26.5 เมตร ใครมาทัวร์มองโกเลีย ต้องแวะมากราบสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลกันสักครั้ง
วัดนี้คือหนึ่งในวัดพุทธนิกายลามะ ที่ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ที่สุดของมองโกเลีย เป็นวัดที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ศาสนาพุทธในมองโกเลียเป็นแบบนิกายมหายาน หมวกเหลือง มีต้นกำเนิดมาจากทิเบต เราจึงเห็นลามะชุดเหลืองชุดแดงเดินกันขวักไขว่ ชาวมองโกเลียนิยมเดินทางไปวัดแต่เช้า และมีพิธีกรรมบางอย่างคล้ายประเทศไทย เช่น การจุดตะเกียง การถวายน้ำมันตะเกียง ฯลฯ
8 ดินแดนแห่งอุปกรณ์กันหนาว ตลาดพื้นเมืองกิ๊บเก๋ และต้นแบบหมวกมองโกลที่โด่งดังทั่วโลก
ถนนที่เป็นย่านศูนย์กลางในการช้อปปิ้งของเมืองมีความคึกคัก ในย่านใจกลางของเมืองอูลันบาตอร์ (Ulaanbaatar) มีร้านอาหารนานาชนิด ร้านขายของที่ระลึกหลายแห่ง โดยมีสินค้ายอดนิยม ได้แก่ เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม, รองเท้าบูท, หมวก, เสื้อผ้าแคชเมียร์ทำจากขนแพะภูเขา, เครื่องประดับ, ของที่ระลึกต่างๆ ได้แก่ ภาพวาด, แผ่นแม่เหล็กติดตู้เย็น, พวงกุญแจ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะพวกอุปกรณ์กันหนาวมีเยอะมากๆ
หมวกมองโกล (Mongolian Hat) เป็นต้นตำรับที่ต่อมาผลิตกันไปทั่วโลก มีที่ปิดหูปิดปาก สำหรับอุณหภูมิต่ำกว่า 10C จนถึง -20C ชนิดหนา ทำจากวัสดุสวมใส่นุ่ม อุ่นสบาย แม้แต่แบรนด์ดังๆของโลกยังออกแบบหมวกทรงมองโกล เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก
Gobi cashmere Outlet คือที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ขายเสื้อผ้าขนสัตว์ แบรนด์ GOBI ที่ ทำส่งออกมาตรฐานยุโรป-อเมริกา สร้างชื่อเสียงให้มองโกเลีย และมีคุณภาพสูงสุดอันดับต้นๆ ของโลก เป็นร้านระดับไฮเอนด์ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
BLACK Market Dunjingarav ตลาดขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาว สินค้าราคาถูก คล้ายกับย่านโบ๊เบ๊ คลองถม พาหุรัด หรือสำเพ็งของบ้านเรา
9 ผู้คนแข็งแกร่งแห่งปฐพี หนาวร้อนก็ไม่หวั่น ดำรงชีวิตท่ามกลางความเรียบง่าย
นอกจากจะมีพื้นที่ติดจีนแล้ว คนมองโกเลียก็ยังหน้าเหมือนคนจีนมากๆ มีเอกลักษณ์คือ “คนมองโกลส่วนมากจะแก้มแดงม๊ากมาก” เนื่องมาจากอากาศหนาวจัดของที่นั่นในช่วงหน้าหนาว ในมองโกเลียอุณภูมิสูงสุดในฤูดูร้อนอาจจะสูงถึง 40 °C และต่ำสุดในฤดูหนาวอาจจะลดลงถึง -40 °C นอกจากความแตกต่างกันมากของอุณหภูมิระหว่างฤดูร้อนกับฤดูหนาวแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืน ทางบริเวณที่สูงของมองโกเลียอุณหภูมิตอนกลางวันอาจจะสูงถึง 30 °C แต่กลางคืนอาจจะลดต่ำลงต่ำกว่า 0 °C
ชาวมองโกเลียสามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศทุกฤดูกาลได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี คนพื้นเมืองส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติที่ไม่ถูกรบกวน เลี้ยงสัตว์ และดำรงชีวิตแบบท้องถิ่นของตน มีความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนู เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่อยู่ในสายเลือดของชาวมองโกลเลยค่ะ เด็กๆก็อยู่บนหลังม้า ขี่ม้ากันได้แล้ว บางครั้งเราจะพบเห็นกองคาราวานอยู่ทั่วไปตามเมืองต่างๆ แม้ส่วนใหญ่อาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง แต่พวกเขาก็จะส่งภาษามองโกลมาทักทายเรา (ว่าแล้วการพูดคล้ายกับภาษาเกาหลีค่ะ ส่วนตัวหนังสือของเขาคล้ายรัสเซีย)
10 อาหารสไตล์มองโกเลีย จากนมม้าสู่บาร์บีคิวและสุกี้สไตล์มองโกล
ชีวิตของชาวมองโกเลีย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน“GER” มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมของชนเร่ร่อน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมอาหารที่ทำจากนมและเนื้อสัตว์ รวมไปถึงเนื้อม้าที่ถูกใช้ทำไส้กรอกในฤดูหนาว รูทเบียร์มองโกเลีย ที่ทำจากน้ำนมของแม่ม้า เหล้านมม้า Airag ชื่อเพราะพริ้งว่า ไอรัก เหล้าที่ไม่เหมือนที่ใด นี่คือเครื่องดื่มประจำชาติมองโกล นำนมม้าไปหมักจนกลายเป็นเหล้า ในนมม้านั้นมีปริมาณน้ำตาลที่สูงมาก ชาวมองโกลจึงนิยมนำมาหมักมากกว่านมแพะ หรือนมแกะ รสชาติของไอรักออกไปทางโยเกิร์ตมากกว่าเหล้า แถมกลมกล่อม และอุดมด้วยวิตามิน
มองโกเลียบาร์บีคิว (Khorkhog-คอร์คอก) เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวมองโกล เขาจะนำเนื้อแพะย่าง มาต้มรวมกันกับผักต่างๆ เช่นแครอท มันฝรั่้ง หัวหอม เติมน้ำเล็กน้อยแล้วใส่หินที่ร้อนจัดลงไป ให้ความร้อน และส่วนผสมภายในนั้นปรุงรสเข้าด้วยกัน แถมด้วยกลิ่นรมควันจากหินร้อนๆ ที่วางอยู่บนเนื้อ บาร์บีคิวมองโกลโด่งดังไปทั่วโลก เพราะอากาศหนาวคนจึงนิยมทานปิ้งย่าง แม้แต่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่าของไทย ที่เล่าถึงที่ทำให้เขาตัดสินใจเปิดร้านบาร์บีคิวพลาซ่า สาขาแรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว โดยใช้คอนเซ็ปต์ปิ้งย่างสไตล์มองโกเลียนผสมญี่ปุ่น ที่ตอนนั้นหน้าตากระทะจะเหมือนหมวกของทหารมองโกเลียสมัยโบราณ จากนั้นก็ให้ลูกค้านำสารพัดวัตถุดิบมาย่าง ยังมีสุกี้ มองโกล ที่อร่อยมาก คือนำเนื้อต่างๆ มาต้มรวม ยังมีหัวแพะและเนื้อแพะย่าง (กินแพะก็เป็นวันนี้ละค่ะ) เป็นอาหารที่เสริฟตามภัตตาคารด้วยนะคะ
อีกอาหารยอดนิยมคือ เกี๊ยวที่ทำจากแป้งที่มีไส้ ทำจากเนื้อวัวหรือเนื้อแกะ ซึ่งปรุงรสด้วยหัวหอม, กระเทียม และเกลือ โดยมีเมนูเกี๊ยวยอดนิยมคือ เกี๊ยวนึ่ง ซึ่งเรียกว่า บึซ และเกี๊ยวทอดที่เรียกว่า คื้อคูชูวร์ และยังมีขนมปังรวมถึงโดนัทสไตล์มองโกล ขนมปังนุ่มๆ ชิ้นใหญ่มาก ส่วนโดนัทคล้ายๆ ปาท่องโก๋ผสมโดนัท รสเค็มๆ มันๆ อร่อยดีค่ะ
นี่เป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งในการท่องเที่ยวมองโกเลีย หากครั้งหนึ่งในชีวิตคุณอยากได้ประสบการณ์ในดินแดน Unique Destination ขอแนะนำให้ไปเที่ยวมองโกเลียค่ะ แล้วคุณจะหลงรักและอยากกลับไปเที่ยวอีกสักครั้งในฤดูที่แตกต่าง ซึ่งจะให้บรรยากาศการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าฤดูกาลไหน มองโกเลีย………คือสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจะหลงรัก
ขอขอบคุณ สถานเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย และบ้านพระยาทราเวล สนับสนุนการเดินทางของ Travelista นักเดินทาง
#สถานเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย #EmbassyofMongolia
#บ้านพระยาทราเวล #บ้านพระยา #baanprayatravel #baanprayaholding